เสื้อม่อฮ่อม ชุดพื้นเมืองของชาวเชียงใหม่




เสื้อ "ม่อฮ่อม" เป็นเสื้อผ้าฝ้ายย้อมสีคราม ดำ คอกลม ผ่าอก แขนยาวหรือแขนสั้น มีทั้งแบบที่ใช้กระดุมกลัดและที่ใช้ผ้าเย็บเป็นเชือกผูก เป็นเสื้อที่ชายชาวภาคเหนือสวมใส่กันเป็นปรกติในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันเสื้อม่อฮ่อมได้เปลี่ยนแปลงพัฒนารูปแบบของเสื้อให้มีความสวยงามยิ่ง ขึ้นและได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วประเทศ เพราะสวมสบาย ทนทาน และราคาถูก บางครั้งบางคราวเสื้อม่อฮ่อมยังได้รับเกียรติให้เป็นเสื้อสำหรับใส่ในงาน เลี้ยงอาหารในโอกาสรับรองแขกต่างบ้านต่างเมืองด้วย
          ม่อฮ่อม เป็นคำภาษาถิ่นล้านนา โดยแท้จริงมิได้หมายถึงเสื้อ แต่หมายถึงสีของเสื้อที่เป็นสีครามอมดำ ปัจจุบันถ้าเอ่ยว่า ม่อฮ่อม จะหมายถึงเสื้อดังลักษณะที่กล่าวไว้ข้างต้น เสื้อชนิดนี้มิใช่เสื้อสำหรับผู้ชายชาวล้านนาสวมใส่มาแต่เดิม แต่เสื้อที่ชายชาวล้านนานิยม คือเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวแบบที่เรียกว่า เสื้อห้าดูก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตั๋วก้อมแอวลอย เสื้อม่อฮ่อมเกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยเริ่มที่จังหวัดแพร่ เนื่องจากพวกลาวพวนที่อพยพเข้าไปอยู่ที่อำเภอเมืองแพร่ได้เย็บเสื้อผ้าฝ้าย ย้อมสีครามดำออกจำหน่ายแก่คนงานและลูกจ้างทำป่าไม้ขึ้นก่อน จึงได้รับความนิยมซื้อสวมใส่กันแพร่หลาย ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ นายไกรศรี นิมมานเหมินท์ ได้จัดงานเลี้ยงอาหารแบบขันโตกเพื่อเป็นเกียรติแก่ ฯพณฯ นายสัญญา ธรรมศักดิ์และกงสุลอเมริกัน ขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และได้กำหนดให้ผู้มาร่วมงานสวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลม ย้อมสีคราม คาดผ้าขาวม้า หลังจากงานนี้จึงมีผู้นิยมใช้เสื้อม่อฮอมกันแพร่หลายยิ่งขึ้น คนทั่วไปจึงคิดว่าเป็นเสื้อประเพณีนิยมสำหรับชายชาวล้านนา
          ใน คราวที่ราชบัณฑิตยสถานได้ปรับปรุงพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ มาเป็นพจนานุกรมฯ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๒๕ นั้น คณะกรรมการชุดปรับปรุงพจนานุกรม ได้เห็นควรให้เก็บคำนี้เพิ่มเติมเข้าไป และเก็บในรูปที่เขียนว่า ม่อฮ่อม ตามที่นิยมใช้เขียนกันโดยทั่วไป ต่อมามีนักภาษาที่ศึกษาทางด้านภาษาถิ่นพายัพได้แสดงความคิดเห็นและแสดงผลการ ศึกษาเทียบเสียงคำไทยภาคเหนือกับคำไทยกรุงเทพฯ แล้ว เห็นว่าคำนี้ควรเขียนว่า หม้อห้อม จึงจะถูกต้อง คณะกรรมการชำระพจนานุกรมจึงได้หยิบยกเรื่องนี้มาพิจารณาหาข้อยุติ ในการพิจารณา คณะกรรมการฯ มีความเห็นแตกต่างกันคือ ที่ เห็นว่าควรเขียน "ม่อฮ่อม" อย่างที่คนทั่วไปใช้ เพราะ ม่อฮ่อม เป็นคำ ๒ คำที่ใช้ร่วมกันคือ มอ หรือ ม่อ มีความหมายว่า "สีมืด สีคราม" หลักการใช้สีเบญจรงค์ตามขนบนิยมของชาวไทยโบราณในภาคกลาง เรียกว่า มอ หรือสีมอ เช่น มอคราม หรือสีครามม่อ หมายถึง ครามอมดำ ชาวล้านนาออกเสียง มอ เป็น ม่อ บางคนจึงเข้าใจผิด พยายามลากคำนี้ให้เป็น "หม้อ" โดยหมายว่าเป็นภาชนะสำหรับใส่น้ำสีย้อม ทั้งนี้เพราะลืมคำเรียกสีมอซึ่งเป็นคำภาษาไทยเดิมไป ส่วนคำ "ฮ่อม" หมายถึงคราม คือสีครามซึ่งไม่ใช่สีวิทยาศาสตร์ แต่เป็นสีครามที่ได้จากต้นฮ่อม หรือห้อม ซึ่งเป็นไม้ล้มลุก ต้นเป็นพุ่ม ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Baphicacanthus cusia  Brem. ในวงศ์  Acanthaceae โดย ใช้ใบและต้นมาโขลกแล้วแช่น้ำซาวข้าว ทิ้งไว้ประมาณ ๔-๕ วัน จึงรินเอาแต่น้ำสีครามมาต้ม ใส่เกลือลงไปเล็กน้อยแล้วนำด้ายฝ้ายมาย้อมน้ำต้มสีนี้ ๒-๓ ครั้ง จนด้ายออกสีเข้มตามต้องการ ในพจนานุกรมภาษาภาคเหนือจัดทำโดย จ.จ.ส. เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ เก็บคำ ฮ่อม หมายถึง สีคราม และหนังสือหลักภาษาไทยพายัพ ของพระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ จัดพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ เก็บคำนี้ไว้เช่นกันแต่เขียนในรูป " ห้อม" ดังนั้น คำนี้ควรเขียนว่า ม่อฮ่อม หรือ ม่อห้อม แต่ไม่ควรเขียนว่า หม้อห้อม เพราะ รูปคำ " หม้อ" จะทำให้ความหมายของคำนี้คลาดเคลื่อนไปเป็นผ้าที่ย้อมในหม้อ มิใช่ผ้าที่ย้อมเป็นสีมอหรือสีครามตามความเป็นจริง และไม่ว่าจะเขียนเป็นม่อฮ่อม หรือ หม้อห้อม ในภาษาภาคกลาง (ภาษาไทยกรุงเทพฯ) จะออกเสียงวรรณยุกต์โทเหมือนกัน การเปลี่ยนแปลงการเขียนตัวสะกดใหม่จะทำให้สับสนได้

 
Design by Free WordPress Themes | Blogger Theme by Lasantha - Premium Blogger Templates | Affiliate Network Reviews